The Predator (2018) | เดอะ เพรดเดเทอร์

The Predator (2018) | เดอะ เพรดเดเทอร์

The Predator ในปี 2018 เป็นการกลับมาอีกครั้งของแฟรนไชส์ภาพยนตร์นักล่าอวกาศที่ได้รับความนิยมตั้งแต่ปี 1987 ภาพยนตร์นี้เป็นผลงานการกำกับของ Shane Black ที่มีเป้าหมายจะสร้างความสดใหม่และยกระดับแฟรนไชส์นี้ให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคาดหวังจากแฟนๆ สูง แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างผสมปนเปไปในแง่ของคุณภาพและทิศทางของเรื่อง

เนื้อเรื่อง: การล่าสมัยใหม่ที่พัฒนาไปอีกขั้น

The Predator เริ่มต้นเรื่องราวเมื่อยานอวกาศของนักล่าตกลงมาบนโลกในระหว่างภารกิจ ผู้ที่พบยานดังกล่าวคือ Quinn McKenna (รับบทโดย Boyd Holbrook) ทหารกองทัพสหรัฐที่ถูกส่งตัวกลับบ้านหลังจากปฏิบัติภารกิจล้มเหลว เขาได้เก็บชิ้นส่วนของเทคโนโลยี Predator ไว้โดยไม่รู้ว่ามันจะนำไปสู่การตามล่าจากหน่วยรัฐบาลลับและการปรากฏตัวของนักล่าอวกาศที่อันตรายกว่าเดิม

เนื้อเรื่องของ The Predator มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีของนักล่าที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคย นอกจากการล่าของ Predator ที่คุ้นเคย ยังมีการเพิ่มองค์ประกอบของการวิวัฒนาการเพื่อให้ Predator ในภาคนี้ดูเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงยิ่งขึ้น แต่ทว่าการดำเนินเรื่องกลับถูกมองว่าขาดความชัดเจนและไม่สามารถสร้างความรู้สึกตื่นเต้นอย่างต่อเนื่อง แม้เนื้อเรื่องจะมีการนำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจ เช่น การวิวัฒนาการของ Predator หรือการต่อสู้กับมนุษย์ที่ใช้เทคโนโลยีของนักล่า แต่รายละเอียดของเรื่องราวกลับไม่สมดุลกับการเล่าเรื่อง

การแสดงและการพัฒนาตัวละคร: ความล้มเหลวในการเชื่อมต่อกับผู้ชม

หนึ่งในปัญหาที่ชัดเจนใน The Predator คือการพัฒนาตัวละครที่ไม่สามารถสร้างความผูกพันกับผู้ชมได้ นักแสดงนำอย่าง Boyd Holbrook ที่รับบทเป็น Quinn McKenna ไม่สามารถแสดงออกถึงความเป็นผู้นำที่น่าเชื่อถือและขาดความลึกซึ้งของตัวละคร นอกจากนี้ การรวมตัวของกลุ่มตัวละครที่เป็นอดีตทหารที่มีความหลากหลาย ซึ่งควรจะเป็นจุดแข็งของหนัง กลับกลายเป็นว่าไม่สามารถสร้างเคมีที่ลงตัวและน่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม นักแสดงสมทบเช่น Olivia Munn ในบท Dr. Casey Bracket นักวิทยาศาสตร์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ล่าสังหาร กลับมีบทบาทที่น่าสนใจ แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับโอกาสในการแสดงออกถึงความซับซ้อนของตัวละครมากนัก

ฉากแอ็คชั่นและเทคนิคพิเศษ: ความมันส์ที่ยังคงมีอยู่

จุดแข็งของ The Predator อยู่ที่ฉากแอ็คชั่นและการใช้เทคนิคพิเศษที่ทันสมัยเพื่อสร้างความตื่นเต้น ฉากการล่าของ Predator ยังคงรักษาความโหดเหี้ยมและความเร็วในการเคลื่อนไหวที่น่ากลัว นอกจากนี้ยังมีการต่อสู้ระหว่าง Predator กับมนุษย์ที่ใช้เทคโนโลยีที่ถูกขโมยจากพวกเขา ทำให้เกิดฉากแอ็คชั่นที่ดุเดือดและตื่นเต้น

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีฉากแอ็คชั่นที่มันส์และเทคนิคพิเศษที่สวยงาม แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยยกระดับภาพยนตร์ให้กลายเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม เพราะเรื่องราวและตัวละครที่ขาดความสมดุลทำให้ฉากแอ็คชั่นดูเหมือนเป็นแค่การต่อสู้ที่ขาดความหมายและความสัมพันธ์กับเรื่องราวหลัก

การตีความใหม่ที่ไม่สมบูรณ์: การเพิ่มเนื้อหาใหม่ที่ขาดความต่อเนื่อง

The Predator มีความพยายามที่จะขยายโลกของ Predator ด้วยการเพิ่มเนื้อหาใหม่ เช่น การวิวัฒนาการของนักล่าและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่การนำเสนอแนวคิดเหล่านี้กลับทำให้เรื่องราวซับซ้อนเกินไปและขาดความต่อเนื่องที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในภาพยนตร์

นอกจากนี้ การสร้างตัวละครใหม่อย่าง "Super Predator" ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความแข็งแกร่งทางกายภาพนั้นเป็นการเพิ่มมิติใหม่ให้กับแฟรนไชส์ แต่กลับไม่สามารถนำเสนอความน่ากลัวและความทรงพลังในลักษณะที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงภัยคุกคามที่แท้จริงเหมือนในภาคก่อนหน้า

บทสรุป: การกลับมาที่ไม่สมหวังของแฟรนไชส์นักล่า

ในภาพรวม The Predator (2018) เป็นการพยายามที่จะทำให้แฟรนไชส์นี้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง แต่กลับขาดความเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องราวและตัวละครที่เคยทำให้ Predator เป็นภาพยนตร์ที่น่าจดจำ แม้ว่าฉากแอ็คชั่นและเทคนิคพิเศษจะสามารถสร้างความบันเทิงได้ แต่เนื้อหาที่ไม่สมดุลและการพัฒนาตัวละครที่ขาดความลึกซึ้งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของแฟนๆ ที่รอคอยได้อย่างเต็มที่

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบแฟรนไชส์ Predator อาจจะพบกับความสนุกจากฉากต่อสู้และความโหดเหี้ยมของนักล่า แต่สำหรับผู้ที่คาดหวังเรื่องราวที่มีความหมายและการพัฒนาตัวละครที่น่าติดตาม อาจจะรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่สามารถเข้าถึงศักยภาพที่ควรจะมี ดูหนังฟรี